ห่างจากวัดนิคมธรรมารามไม่มากนัก เราก็หมุนเครื่องสี่ล้อไปทางซ้าย ปากทางเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทที่พักเชิงเขาสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการพักค้างแรมท่ามกลางป่าเขา เลยไปอีกหน่อยเจ้าหน้าที่ของสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าเขาท่าเพชรก็ส่งยิ้มหวานๆมาต้อนรับ เราแวะถามทางไปพระธาตุศรีสุราษฎร์ ก็ได้รับคำตอบว่าจากจุดที่ถามไปกิโลกว่าๆ
เจ้าอ้วนสี่ล้อพาเราไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆบนเส้นทางที่เป็นเนินสูงชันขรุขระและไม่กว้างเท่าไหร่นัก เราผ่านสถานีส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง7และสถานีช่องอื่นๆ สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ยิ่งสูงม่านหมอกก็ยิ่งหนาตาขึ้น เราถามตัวเองว่าหลงข้ามประตูแห่งกาลเวลาไปอยู่บนดอยตั้งแต่เมื่อไหร่ บรรยากาศเช่นนี้ดูราวสรวงสวรรค์
หนุ่มสาวใหญ่ใจดีคู่หนึ่งส่งสายตาเป็นมิตรมาจากจุดชมวิว เราค่อยๆเดินฝ่าม่านหมอกเข้าไปหาเขา ก่อนที่จะเอ่ยปาก พี่ผู้ชายเอ่ยถามอย่างมีน้ำใจว่า "กินขนมไหม" มิตรภาพเล็กๆที่เกิดขึ้นระหว่างการได้พบเจอผู้คนแปลกหน้าช่างน่าประทับใจยิ่งนัก เรายิ้มตอบพร้อมกล่าวว่า "ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ" ก่อนที่บทสนทนาเกี่ยวกับเขาท่าเพชรจะเริ่มขึ้นอย่างออกรส พี่ชายใจดีเล่าว่าปกติจะมองเห็นตัวเมืองจากจุดชมวิวเขาท่าเพชรแห่งนี้ แต่วันนี้หมอกคลุมเมืองไปหมด
"โชคดีนะเนี่ย ได้เห็นวิวแปลกไปอีกแบบ ปกติพี่ก็ไม่เคยเห็นหมอกลงแบบนี้มาก่อน" พี่ชายใจดีพูด
เราตอบ "ยังกับอยู่เชียงใหม่หรือเมืองนอกเลย เอ! มีสัตว์ป่าไหมพี่"
"ไม่มีแล้ว เมื่อก่อนมีอยู่ในกรง เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เห็นแต่ไก่ป่า" พี่สาวพูดก่อนจบด้วยเสียงหัวเราะ
เราขอตัว "เดี๋ยวขอไปดูรอบๆหน่อยนะคะ" คนน่ารักคู่นี้ผงกศีรษะพร้อมส่งยิ้ม
เราเดินไปยังบันไดเบื้องหน้าพยายามเพ่งสายตาผ่านม่านหมอกยังคงมองไม่เห็นอะไร จนกระทั่งใกล้เข้าไปอีกหน่อยจึงได้เห็นองค์พระธาตุศรีสุราษฎร์รูปทรงสูงตั้งเด่นตระหง่านบนฐานแปดเหลี่ยม ราวกับเราได้ขึ้นสวรรค์มากราบสักการะปานนั้น เราล้วงเอาหมวกกันฝนออกมาจากกระเป๋าสะพายก่อนที่จะวางร่มไว้ข้างๆ รวบรวมจิตแน่วแน่ก้าวขึ้นไปตามบันไดแล้วค่อยๆย่อตัวลงจนกระทั่งเข่าสัมผัสพื้น สิ่งแรกที่นึกถึง คือ แม่ที่นอนป่วยอยู่ที่บ้านไม่มีโอกาสได้มากราบสักการะองค์พระธาตุด้วยตัวเอง เราจึงตั้งจิตอธิษฐานนึกถึงแม่ก่อนที่จะก้มกราบท่ามกลางสายฝน รู้สึกจิตเบิกบานอย่างบอกไม่ถูก
พระธาตุศรีสุราษฎร์ หรือ พระธาตุเขาท่าเพชร สร้างตามแบบศิลปะศรีวิชัยผสมรัตนโกสินทร์ตอนต้นเมื่อ ปี พ.ศ.2500 สองปีต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้ทรงเสด็จมากราบนมัสการพระธาตุแห่งนี้เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2502และทรงปลูกต้นพะยอมเอาไว้จนบัดนี้มีลำต้นสูงใหญ่ราว 20 เมตรเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ ออกดอกเป็นช่อสีขาวที่ปลายกิ่งมีกลิ่นหอม ต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯเสด็จแทนพระองค์ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุสาวกในปี พ.ศ.2527
บริเวณโดยรอบนั้นร่มรื่นด้วยป่าไม้เบญจพรรณ ทั้งตะเคียนทราย กระบก หวายแดงฯลฯ อีกทั้งยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติด้วยตนเองระยะทาง 800 เมตรพร้อมป้ายข้อมูลเป็นระยะๆ ยอดเขาท่าเพชรลูกนี้สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 210 เมตรเลยทีเดียว เราเพลิดเพลินกับการชื่นชมธรรมชาติผ่านม่านหมอกและสายฝนจนเวลาผ่านไปพักใหญ่ๆจึงเดินกลับไปหามิตรใหม่คู่เดิม
เพื่อนรุ่นพี่ถาม "เป็นไงบ้าง"
เราตอบ "สวยมากเลยค่ะพี่ ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะนะคะ"
ทั้งคู่ยิ้มพร้อมโบกไม้โบกมือไปมา "ไม่เป็นไรๆ" ฝ่ายชายออกตัว "ตะกี๊ที่ชวนกินขนมพอดีพี่กินกันจนหมดแล้ว(หัวเราะอายๆ)"
เรายิ้มกว้าง "ไม่เป็นไรหรอกพี่ ขอบคุณมากนะคะ ขอตัวก่อน โชคดีนะคะ" เรายกมือไหว้คนทั้งคู่
คนแปลกหน้ากล่าวร่ำลากันด้วยรอยยิ้มท่ามกลางสายฝนที่แทรกตัวอยู่กลางหมอกหนา เขาท่าเพชรในม่านหมอกวันนี้กลับมีลำแสงแห่งมิตรภาพส่องประกายเจิดจ้า บางครั้งสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เรามอบให้กับผู้ผ่านทางอาจเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในใจผู้รับตราบนานเท่านาน
Leave a Reply